วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติผีปอป


"ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันเข้ม ขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลาย ชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝัง รอยเสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง วิชาไสย ศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ซึ่งพระ พุทธเจ้า ทรงระบุว่า เป็นเดียรฉาน วิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิด ข้อห้าม ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากกระ ทำผิด ข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า "คะลำ" ก็จะเกิดโทษหนักในข้อ "ผิดครู" วิญญาณบรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่ กลายเป็นปอบก็คือ เล่น คาถาอาคม อย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชา มนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัว กรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเองกลาย เป็น ปอบไปในที่สุด
....................
 "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น
................... .
 "ปอบ ธรรมดา" หมายถึงคนที่มีปอบสิงอยู่ใน ร่าง (คือตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู'ก็จะ ตายตามไปด้วย
....................
 "ปอบเชื้อ" หมายถึงครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้ เป็นปอบต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่า เป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ
.................... 
"ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอาความ ผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือเวลาไปเข้าสิงใคร เมื่อถูกสอบ ถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบ จะไม่บอกความจริงหากไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เลย
....................
 ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า "ใบ้") หมายถึงปอบที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคน ถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของ ใครมีใครใช้ให้มา เข้าสิง ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไป บางคนแสดงกิริยาอาการ ดุร้ายบางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะ ร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีทีท่า อาการอย่างไร
....................
ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้ นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกหมูตับไก่ต้มมากิน เหมือนๆ กับเวลา กินก็แสดงความตะกละมูม มามและกินได้จุผิดปกติเมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอ ผีให้มาไล่ปอบ การไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธีตามแนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมา บางคนจะเอาพริกแห้ง มาเผา ให้ควันรม คนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพาก ครั้นปอบ ออกจากร่าง แล้วหมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน เมื่อปอบรับสารภาพ หมอผีก็ จะปล่อยไป คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกเผา รมจะหายไปทันที แต่เจ้าของ ปอบกลับมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือดจนต้องหลบ หน้าอยู่แต่ในห้องไม่กลัวให้ใครพบหน้า อีกวิธีหนึ่งที่ หมอผีทั่วไปนิยมใช้ไล่ผี คือใช้หวาย เฆี่ยนไล่ปอบซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละหากปอบกล้าแข็งหมอผีจะ เฆี่ยนหนักๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายก็ จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่ผีปอบแบบนี้เคยเป็นเรื่องเป็นข่าวมาแล้ว
....................
เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง หากป่วยเป็นโรคประสาท ญาติคิดว่าปอบ เข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผีจัดการเฆี่ยนคนป่วยด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจน หลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอม แพ้ในที่สุดคนป่วยก็เสียชีวิตร้อนถึงตำรวจ ต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมายและหมอผีคงคิดคุก ติดตะรางไปตามระเบียบ
....................
อีกวิธีหนึ่งหมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัวเช่น คางคก ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้ คนที่ ถูกปอบเข้าสิงมักจะเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ (เธอ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้ และ มักจะยอมออกจากร่างที่ เข้าสิงง่าย ๆ
....................
ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะอกยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้ เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมี ข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา เวลา หมอผีจี้อ้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อนหนีได้ และเมื่อก้อนกลมๆนี้หายไปหมอ ผีที่มีวิชาอาคมยังไม่เก่งนักมักคิดว่าปอบออกไปแล้ว แต่ที่แท้จริงๆ ปอบมันจะเลื่อน หนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบ หรืออวัยวะเพศ ทำให้หาไม่พบ
....................สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้าย สายสิญจน์เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจาก ร่าง จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆ ใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย เวลาที่ถูกไพลเสกจี้ ทางอีสานเรียกว่า "แทง" ปอยจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (คนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอด ครวญดังลั่น) หมอผีจะขู่บังคับให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี หลังจากทรมานปอบให้หวาด กลัวเข็ดหลาบแล้ว หมอผีจึงจะแก้มัดด้วยด้ายสายสิญจน์ ปล่อยให้ปอบออกไป หมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด ให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่เปิดเผยแก่ สาธารณชนทั่วไป โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนามา แล้วเอาหม้อดินครอบศีรษะคนถูกปอบสิง ใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟ คล้ายกับโกนผมให้ หมดไปครึ่งศีรษะ จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง วิธีการ ไล่ปอบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็น ปอบหรือเลี้ยงปอบไว้ต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรือเวลาออกนอกห้องไปไหน มาไหน ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ

ผีกระสือ ผีตัวนี้มีมาตั้งแต่โบราณ เป็นผีผู้หญิงที่ยามปกติใช้ชีวิตปะปนกับผู้อื่นในสังคม กระสือนั้นเกลียดกลัวแสงแดด แต่ตกดึกจะถอดหัวกับไส้ออกจากร่างไปหากิน โดยปรากฏเป็นแสงไฟสีเขียวๆที่ล่องลอยจากฟากฟ้ายามค่ำคืน ของที่ผีพวกนี้ชอบกินคือของเน่าเสียหรือสิ่งปฎิกูลต่างๆ และมีอีกอย่างที่กระสือชอบกินเป็นพิเศษคือรกเด็ก สมัยโบราณเมื่อบ้านใดมีหญิงตั้งครรภ์ชาวบ้านมักจะเชื่อกันว่ากระสือจะต้องไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อกินรกเด็กอย่างแน่นอน สิ่งที่กระสือกลัวและเกลียดมากที่สุดคือ ปลายไม้ไผ่แหลมๆหรือสิ่งของมีคมต่างๆ เพราะเมื่อใดที่กระสือนั้นเข้าไปไกล้สิ่งของแหลมๆเหล่านั้นไส้อันระโยงระยางของมันจะไปเกี่ยวกับไม้เหล่านั้นและเป็นการยากที่จะออกได้ กระสือนั้นสืบทอดทายาทโดยการให้ผู้ที่ตนเองต้องการจะให้เป็นทายาทนั้นกินน้ำลายของมันเองและแล้วบุคคลผู้นั้นก็จะค่อยๆซึมซับความเป็นกระสือไปทีละน้อยจนนานวันเข้ากลายเป็นทายาทกระสือไป  ปัจจุบันไม่มีข้อมูลว่ามีผู้พบเห็นผีตัวนี้อยู่หรือไม่ หรือกระสืออาจจะหายไปกับวัฒนธรรมวิถีชาวบ้านที่ถูกกระแสกาลเวลาเปลี่ยนไป...
ผีประเภทนี้ถ้าเป็นผู้หยิงเรียกว่าผีกระสือ แต่ถ้าเป็นผีผู้ชายที่มัลักษระตระกูลเดียวกันเรียกว่าผีกระหัง
ผีกระหัง ผีกระหังนี้เป็นผีตระกูลเดียวกับผีกระสือ แต่แตกต่างกันตรงว่ากระหังนั้นมีแต่เพศชายและเป็นผีที่มีลักษณะแปลกประหลาดอย่างมาก กระหังนั้นยามกลางวันก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมผู้คนในสังคม แต่ตกกลางคืนมันจะกลับกลายร่างเดิมของมันเต็มตัว กระหังมีลักษณะแปลกประหลาดเป็นภูติพราย มันมีกระด้งใหญ่ใส่แขนทั้งสองข้างของมัน กระด้งนั้นทำให้มันมีอิทธิฤทธิ์บินไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ และเจ้ากระหังนี้มีสากตำข้าวเป็นอาวุธประจำกาย (คงเอาไว้ใช้ต่อสู้กับผีประเภทอื่นๆหรือป้องกันตนจากพ่อมดหมอผี) โดยปกติแล้วยามที่มันไม่ใช้สากนี้มันจะเหน็บไว้ที่ว่างขา(ประหลาดดีแฮะ) ส่วนการสืบทอดทายาทของกระหังนั้นไม่แน่ชัดหรือคงจะวิธีเดียวกับผีกระสือญาติของมัน กระหังนั้นกินสิ่งโสโครกเป็นอาหารเหมือนกับกระสือแต่อาจจะกินเลือดคนด้วยก้ได้ตามใจมันต้องการ ปัจจุบันกระหังก็หายไปและไม่มีใครได้เจอมันอีกเลย...

 ผีโพลง หรือ ผีโพง เป็นผีของไทยภาคเหนือ ขุนมหาวิชัย ได้เล่าไว้ว่า ผีโพงเรียกว่าผีกระสือ ผีชนิดนี้มักเกิดแต่คนที่มีว่านยาอันแรงคล้ายกับผีปอ บ และมันมักติดแปดผู้อื่นได้ เป้นต้นว่า มันถ่มน้ำลายถูกผู้ใด ผู้นั้นมักกลายเป้นผีโพงเหมือนผู้ที่เป็นแล้ว หรือถ้ามันไม่ชอบผู้ใด แล้เอาไม้คานหาบน้ำของแม่หม้ายไปขว้างข้ามหลังคาเรือ นแล้ว มักทำให้ผู้นั้นฉิบหาย กริยาที่ผีโพลงชอบ คือ ฝนตกพรำ มันมักออกหากินพวกของโสโครกในเวลาดึก และมักจะเที่ยวด้อมๆ มองๆ ตามใต้ถุนเรือน ที่มีผู้หญิงอยู่ไฟ เขากล่าวว่า ผู้หนึ่งได้เห็นผีโพง มาเที่ยวหากินที่ใต้ถุน เขาจำหน้าได้ว่าเป็นคนนั้นแน่ เขาจึงเอาหอกซัดพุ่งลงไป ถูกที่กลางหลัง เขาเข้าใจว่า ผู้นั้นคงจะตาย และเมื่อเวลาเช้า ได้ไปตรวจดูที่บ้านคนนั้น ก็เห็นคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ บาดแผลก็ไม่มี เขานึกประหลาดใจเป็นอันมาก จึงไปดูในสวนของผู้นั้น เห็นหอกปักอยู่ที่กอว่าน ติดอยู่กัยหัวว่าน ที่ผู้นั้นปลูกไว้ เพราะฉนั้น เขาจึงเห็นว่า ผีโพงเกิดจาก ผู้ที่มีว่านยาอันแรงร้าย ว่านอันแรงร้ายนั้น มักจำแลงเป็นรูปเจ้าของไปได้ (จะจริงเท็จฉันในไม่แจ้ง) ผีโพงนี้ ไม่ได้รบกวนและทำอันตรายแก่มนุษย์ โดยอุบายอย่างหนึ่งอย่างใดเลย พระคุณเจ้าลานนาศรีโหภิกขุ เล่าว่า ท่านได้เห็นดวงไฟดวงหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาในตอนกลางคืน ขณะที่ฝนตกพรำๆ ท่านได้เฝ้ามองอยู่เป็นเวลานาน และเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั้น คือ ผีโพง ท่านเล่าต่อว่า มีชาวบ้านหลายคนเคยเห็นผีโพง เขาว่ามันเป็นคนเราดีๆนี่เอง แต่ออกหากินกบ เขียด หรือของคาวจัดในเวลาดึงสงัด และมีแสงเรืองออกทางจมูก แสงของผีโพงนั้น จะหยดลงสู่พื้นดินเหมือนเวลาเราเขี่ยไต้ มันชอบออกล่ากบ เขียดตามทุ่งนา เมื่อจับได้ก็ใส่ปากดูดกินแต่คาวแล้วขว้างทิ้ง พวกชาวบ้านเล่าว่า เคยเห็นผีโพงในระยะประชิดตัวเหมือนกัน ยืนยันว่า ผีโพงก็เป็นคนธรรมดานี่เอง มีอาการทุกอย่างครบ ๓๒ แต่ผิดแผกจากคนธรรมดาก็ตรงที่มันชอบล่า กบ เขียด กินในเวลาค่ำคืน และมีแสงออกที่จมูก เมื่อมีคนพบมันเข้า ผีโพงจะอ้อนวอน ขอร้องว่า อย่าได้พูดไป เพราะเหตุว่า เป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง ผีโพงที่เป็นผู้ชาย เวลาออกหากินมักจะสะพายดาบติดตัวไปด้วย เมื่อจวนตัวเข้าจริงๆ มันก็จะทำร้าย เอาเหมือนกัน บางตัวที่เป็นมานานปีก็ฉลาด พกเอาไฟฉายไปด้วย เวลามีคนมาพบเข้า จะได้แก้ตัวได้ว่า มาหาปลา หากบ ถ้าไปทำอะไรให้ผีโพงแค้นเคืองแล้ว มันจะอาฆาตพยาบาท และพุ่งด้วยก้านกล้วยถึงตายได้ ถ้ามันพุ่งข้ามหลังคาบ้าน ก็จะพากันฉิบหายวายวอด ตามธรรมดาชาวบ้านถือกันว่า คนที่เป็นผีโพงนั้น เนื่องมาจากวิบากกรรมของเขาเอง พวกชาวบ้านจึงไม่มีใครสนใจ เพราะผีโพงไม่ทำอันตรายและไม่เป็นภัยต่อใครๆ

ผีนางตะเคียน
ว่ากันว่าเป็นผีผู้หญิงสาวสวย มีอิทธิฤทธิ์มากมาย สิงสถิตประจำต้นตะเคียนโดยเฉพาะต้นที่เก่าแก่มีอายุหลายปี คนไทยสมัยก่อนมักไม่นิยมเอาไม้ตะเคียนมาปลูกบ้าน
และสวยรับรองไม่เป็นสองรองใคร และคงจะเป็นผีสาวมากกว่าเพศผู้ ข้อหลังนี่ไม่อยากยืนยันเพราะกลัวจะเมื่อยขาเอาเป็นว่าผู้ชายเราไม่สน...มาว่ากันแต่เรื่ องสวยๆงามๆดีกว่า....แม้จะเป็นผีก็ยังอยากชีกอว่างั้นเถอะ อ้อ...ลืมบอกไปผีพรายส่วนใหญ่มีนิวาสถานอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก แต่ผีพรายกับพรายน้ำที่ส่องแ สงวับๆแวบๆ เวลาต้องแสงไฟตอนกลางคืนนั้นคนล่ะเรื่องเดียวกันแหละตัวเอง

ประวัติความเป็นมาและอิทธิฤทธิ์ของผีพราย

ผีพรายนั้นไม่มีประวัติความเป็นมาอะไรมากนัก นอกจากเป็นผีประเภทนางไม้ อย่างที่บอกไว้แต่แรก และชอบอาศัยอยู่ในน้ำ ทำไมถึงชอบไปอยู่ที่นั่นก็ไม่กล้าดำลงไปถามเหมือนกันเดี๋ยวจะไม่ได้กลับขึ้นมาบนบกอีกก็เลยปล่อยให้ความสง สัยยืนยงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า รู้แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว อ้อ...อ้อ ..เพิ่งนึกขึ้นได้ ในวรรณคดีไทยเสภาเรื่องขุนช้างขุ นแผน ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีพรายอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผีสาวกลับเป็นผีหนุ่มหรือน่าจะเป็นผีผู้พราย (หมายถึงพรายตัวผู้หรือผีพรายผู้ชาย) คือตอนที่หมื่ นหาญนายโจร สั่งให้นางบัวคลี่ลูกสาวของตนวางยาพิษหมายจะใช้เป็นเครื่องมือสังหารลูกเขยคือพรายแก้วหรือขุนแผน

แต่เจ้าโหงพรายผีที่ขุนแผนเลี้ยงไว้รู้เข้า จึงแอบกระซิบบอกกับขุนแผนผู้เป็นนายของตนขุนแผนเรียนวิชาเลี้ยงผีรวมทั้งคาถาอาคมเครื่องรางของขลังมาจากอาจารย์สมัยที่บวชเป็นเณรอยู่วัดแคสำหรั บเจ้าโหงพรายนั้นพลายแก้วเคยใช้ขี่เป็นพาหนะเหาะไปหานางพิมพิลาไลยที่สุพรรณบุรี

ลักษณะของผีพราย

ผีพรายตามที่บอกไว้แต่แรกว่าเป็นผีประเภทนางไม้สาวสวย และชอบอาศัยอยู่ใ นน้ำแต่ตัวที่เจ้าพลายแก้วขี่ไปบ้านนางพิมนี่เป็นผีพรายที่อยู่บนบกและไม่แน่ใจว่าเป็นเพศใดกันแน่ หากเป็นผีพรายเพศหญิงมักจะไว้ผมยาว มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หุ่นสเลนเดอร์อีกต่างหาก

อาหารและวิธีการออกหากิน

ผีพรายนั้นน่าจะกินพวกเครื่องเซ่นเหมือนกับผีธรรมดาทั่วๆไป แบบเดียวกับพวกผีนางไม้ทั้งหลาย อันได้แก่ ผีนางตานี ผีนางตะเคียนเป็นต้น แต่ไม่เคยได้ข่าวว่ าผีพรายหารายได้พิเศษในทางให้หวยบอกเลขจนมีคนตั้งศาลยกให้เป็นเจ้าแม่เหมือนผีสองชนิดที่กล่าวนามมาแล้วนั้น เลยไม่รู้ว่าจะได้เครื่องเซ่นมาด้วยวิธีไหน เพราะคนเราลองไม่ได้ผลประโยชน์และไม่ใช่เป็นเครือญาติกันด้วยแล้ว เรื่องจะเอาอาหารหวานคาวไปเซ่นสังเวยด้วยความเสน่หานั้นคงเป็นไปได้ยาก

วิธีป้องกันและจัดการกับผีพราย

ผู้สันทัดกรณีบอกว่า ผีพรายผู้หญิงนั้นชอบอาศัยอยู่ในน้ำเวลาใครลงไปเล่นน้ำคนเดียวโดยเฉพาะในที่ลึกๆ อาจจะโดนผีพรายเอาผมพันขาลากจมหายไปก็ได้ ทั้ งนี้เพราะต้องการจะเอาตัวไปเป็นบริวารหรือไม่ก็ให้มารับตำแหน่งหน้าที่ผีพรายน้ำแทนแล้วตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิด เวลาที่มีข่าวคนจมน้ำตายมักจะเชื่อกันว่าเ พราะถูกผีพันขาเอาไว้มากกว่าจึงทำให้จมน้ำตาย ซึ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเพราะไม่มีใครยอมเป็นอาสาสมัครไปทดสอบเลยสักรายเดียว วิธีป้องกันก็คืออย่ าไปเล่นน้ำคนเดียว โดยเฉพาะที่ลึกๆ และในเวลากลางคืนส่วนวิธีจัดการกับผีพรายนั้นคงต้องพึ่งหมอผีผู้เรื่องวิทยาการทางด้านคาถาอาคม

ข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับผีพราย



เวลาที่ใครตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่า ตามเนื้อตามตัวและแขนขามีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ โดยไม่ทราบสาเหตุเพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้เมาหรือเดินสะดุดนักเลงที่ไหน ท่านผู้รู้ บอกว่าอาการช้ำนั้นอาจเกิดจากการถูกพรายย้ำก็เป็นได้ แต่ถ้าขนาดถึงขั้นขอบตาเขียวหรือฟันโยกไปทั้งปากสงสัยต้องลองให้นึกทบทวนดูดีๆ ว่าเมื่อคืนนี้ไปฝ่า ด่านอะไรมาบ้างหรือเปล่านอกจากผีพรายน้ำจืดที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ยังมีผีพรายอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าพรายทะเล

ซึ่งเวลาอาละวาดจะก่อให้เกิดคลื่นหรือลมพายุท ำให้ท้องทะเลปั่นป่วน ชาวเรือมีวิธีแก้ โดยการสร้างรูปแม่ย่านางไว้ที่หัวเรือ เพื่อป้องกันไม่ให้ผีพรายทะเลมารบกวน ขอปิดท้ายเรื่องราวเกี่ยวกับผีพรายด้วยบ ทกวีที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงนิพนธ์ค้างไว้ 2 บท ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพรายย้ำและศรีปราชญ์ยอดกวีเอกคนหนึ่งของไทยได้แต่งต่อจนจบ ดังนี้

อันใดย้ำแก้ม แม่หมองหมาย
ยุงเหลือบฤาริ้นพราย ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน



ก๊อบมาอีกทีน่ะครํบ
วันหลังจะหาให้เพิ่มนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น